ตะลุย Russia กับหญิงแย้ ตอนที่ 2

กลับมาต่อกันกับทริปเที่ยวรัสเซีย ตอนที่ 2 กันแล้วนะจ้ะ  บล็อคนี้จะยาวนิดนึง  เพราะเที่ยวแน่นมากกกก บางที่ที่แย้ไปอาจจะถ่ายรูปไม่ได้  เอาเป็นว่าเอารูปบรรยากาศรอบๆมาฝากละกันนะจ้ะ  
มาต่อกับวันที่ 4 ของทริปรัสเซียโดยบินจากกรุงมอสโคว์มาที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก  บางทัวร์อาจจะให้นั่งรถไฟ  หรือนั่งรถบัสมาซึ่งใช้เวลาค่อนข้างเยอะ  ทัวร์นี้เป็นทัวร์แบบระยะสั้นก็เลยให้บินมาเลยใช้เวลาประมาณ 1 ชม. 45 นาที


ตอนแรกไม่ได้มีไอเดียอะไรเกี่ยวกับเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเลยเพราะไม่เคยเห็นในสารคดีหรือในหนังเลย  ปรากฎว่าดูในแผนที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กอยู่ติดกับฟินน์แลนด์ ลิทัวเนีย ลัตเวีย เลยแสดงว่าความเป็นยุโรปสูง  ปรากฎว่ามาแล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คือคนจะมีความเป็นยุโรปมากกว่า  ถ้าที่มอสโคว์คนที่นั่นจะหน้าบึ้งดุๆแบบรัสเซีย  แต่คนเมืองนี้จะยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมา

อากาศหนาวกว่าทางมอสโคว์เพราะอยู่ใกล้กับทะเล  เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจะแตกต่างกับมอสโคว์เลย  เพราะมอสโคว์เป็นเมืองที่ไม่ติดทะเล  ปกติมอสโคว์จะเป็นเมืองหลวงของรัสเซียมาตลอด  แต่ว่าจะมีช่วงนึง  ก็คือสมัยพระเจ้าซาร์ ปีเตอร์มหาราช(ยุคที่ รัสเซียเจริญรุ่งเรืองสุดๆ) ได้ย้ายเมืองหลวงมาที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กแทน  เนื่องจากว่าจะได้ทำการค้าขายกับยุโรปได้ง่ายขึ้น  เพราะเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กอยู่ติดกับทะเลบอลติกที่นำไปสู่หลายๆประเทศในยุโรป  ทำให้การติดต่อค้าขายดีขึ้น  แต่ปรากฏว่าย้ายมาได้ไม่นาน  ก่อร่างสร้างเมืองเสร็จก็มีการย้ายเมืองหลวงกลับ เนื่องจากเป็นนโยบายของจักรพรรดิองค์ต่อๆมานั่นเอง

ตอนที่มาเมืองนี้ไม่รู้น่าอยู่หรือเปล่า  แต่สำหรับนักท่องเที่ยวเนื่องจากว่า  เป็นเมืองที่สวยงามมีการวางผังเมืองที่สวยมากๆ ทุกอย่างดูเป็นระเบียบเรียบร้อย  บ้านเมืองจะเป็นตึกทรงเดียวกันหมด  สูง4-5 ชั้น  แต่ละตึกจะต้องสูงไม่เกิน 28 เมตร  เพราะว่าจะไปบดบังพระราชวังต่างๆ สีของตึกจะเป็นสีเหลือง สีชมพูแล้วก็สีฟ้า  จะออกสีพาสเทลๆ ดูแล้วคลาสิกมากๆ ทางยูเนสโก้  ยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลกนั่นเอง  ใครเคยไปบูคาเรส โรมาเนียก็จะเห็นถึงความคล้ายคลึง 

ด้วยความที่อยู่ติดทะเล จึงทำให้มีแม่น้ำลำคลองเยอะ มีสะพาน มีทั้งคลองที่ขุดขึ้นมาเป็น 10  กิโล แม่น้ำธรรมชาติ ทำให้เมืองนี้มีทัศนียภาพที่สวยงามดุจภาพวาดกันเลยทีเดียว  แล้วก็มีพวกเรือสำราญมาลงด้วย 

ที่มหาวิหารกลายเป็นที่จัดแสดงงานศิลปะต่างๆ  หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับทางศาสนา  และจัดกิจกรรมต่างๆ ดั้งนั้นไม่ได้ใช้เป็นศาสนสถานแล้ว เราก็เลยแต่งตัวอะไรก็ได้  แล้วก็สามารถถ่ายรูปข้างในได้  รวมไปถึงข้างในมีร้านขายของที่ระลึกด้วย
ซึ่งมหาวิหารเซนต์ไอแซคได้ชื่อว่าเป็นมหาวิหารที่สวยงามที่สุดและใหญ่เป็นลำดับที่ 4 ของโลกซึ่งเป็นต้นแบบของรัฐบาลวอลชิงตันของอเมริกา  มีความสวยงามมาก  มีภาพเขียนจิตรกรรมเฟรสโก้อยู่ตามผนัง  และกระเบื้องโมเสคที่เอามาเรียงกันกลายเป็นรูปภาพ


มาทานอาหารที่ ร้านอาหารภัตตาคารท้องถิ่น Podvorye Restaurant ที่นี่เซเลปมาทานเยอะเฟ่อ!  มีออร์เดิฟมากมายหลายอย่างมาก  เนื้อหมูต่างๆ  มะเขือเทศแปะหน้าด้วยมันฝรั่งผสมชีสโรสแมรี่  ที่สำคัญมี วอดก้า (ที่นี่กินเพียวเท่านั้น) ไวน์ขาว ไวน์แดง  ภาพสุดท้ายเป็นซุปครีมเห็ดแบบเข้มข้นเพราะเห็ดมาเป็นชิ้นๆเลยทีเดียว  


ส่วนอันนี้เป็นซุปของเขาแต่จำชื่อไม่ได้แล้ว  ซุปที่อารมณ์คล้ายๆเย็นตาโฟ  แต่ที่นี่จะกินแบบใส่ซาวครีมเข้าไป  ตอนไม่ใส่ก็น่ากินอยู่หรอก  แต่พอใส่ปุ้บคนแล้วเละเลยจ้า  แต่ชิมแล้วก็อร่อยไปอีกแบบ


ส่วน Main Course ของมื้อนี้อารมณ์เหมือนแกงจืด ข้างในผักกาดขาวหรือกะหล่ำปลีในนี้  ต้มจนเปื่อย  ข้างในเป็นหมูหมักปรุงรส อร่อยเหมือนแกงจืดบ้านเราเลย  ปิดท้ายด้วยขนมหวานเป็นเครปแครนเบอร์รี่  เสิร์ฟพร้อมไอศครีมวนิลา  ราดด้วยน้ำผึ้งสด 
จากนั้นไปเมืองพุชกิ้น หรือรู้จักกันในชื่อ ซาโก เซโล ที่นี่เป็นที่พักในฤดูร้อนของราชวงศ์โรมานอฟ  สวยงามมากๆ และเป็นบ้านที่รักและโปรดปรานของสมาชิกครอบครัวโรมานอฟทุกพระองค์  เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์  ก็คือเมื่อวันที่ 2 เมษายน 1917 พระเจ้านิโคลัสที่ 2 พร้อมสมาชิกในราชวงศ์ ทั้งภรรยาและลูก 4 คน  ถูกจับตัวจากกลุ่มของคณะปฎิวัติ  กลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าสุดท้ายของเมืองพุชกิ้นและราชวงศ์โรมานอฟที่ยาวนานกว่า 200 ปี 

พระราชวังฤดูร้อนแคทเธอรีน  เริ่มสร้างสมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราช  เพื่อให้เป็นที่พักผ่อนของมเหสีองค์โปรดก็คือพระนางแคทเธอรีนที่ 1 แต่ต่อมาได้ยกให้พระธิดาอลิซาเบทในปี 1741 ก็ได้ทำการตกแต่งให้พระราชวังหรูหรามากขึ้น  และในสมัยพระนางแคทเธอรีนมหาราช (ก็ได้แคทเธอรีนที่2) ตกแต่งเพิ่มเติมขึ้นอีก  

ภายในเป็นอาคาร 2 ชั้น มีห้องพักผ่อน 50 ห้อง ภายในห้องสวยงามมาก  แต่จะไม่ได้เปิดให้ชมทุกห้อง  เพราะกำลังรื้อทำใหม่เนื่องจากว่าโดนระเบิดจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1944 จึงต้องมีการรีโนเวทใหม่  ความอลังการอาจจะน้อยลง  เนื่องจากไม่มีกษัตริย์อาศัยอยู่แล้ว ส่วนพื้นแบบ Original จะมีแค่บางห้องเท่านั้นที่ไม่ได้ถูกทำลายด้วยระเบิด  ซึ่งก็อนุญาตให้สวมหมวกได้  แต่ว่าต้องสวมรองเท้าพลาสติกเพื่อเป็นการถนอมพื้นของเค้า

พูดถึงการตกแต่งของพระราชวังนี้โดยรวม หน้าต่างจะประดับประดาไปด้วยกระจกเยอะ  เพื่อให้ห้องดูใหญ่ขึ้น  และบางคนสามารถเข้าไปจัดงานเลี้ยงได้  แต่ต้องเป็นคนสำคัญพอสมควร  อย่างเช่น เอลตัน จอห์น เคยมาจัดคอนเสิร์ทที่นี่  แต่ราคาค่าเช่าห้องแพงมาก  หลักหลายล้านเลยทีเดียว  


และที่นี่จะมีเทียนเยอะเป็นพิเศษ สมัยก่อนต้องจุดไฟ  และแรงงานเค้าค่อนข้างเยอะก็เลยสามารถจุดได้  พระราชวังนี้จะตกแต่งด้วยสีขาว สีฟ้า และสีทอง เพราะว่ามเหสีองค์โปรดหรือพระนางแคทเธอรีนที่ 1 มีลักษณะผิวขาวมาก  และมีนัยย์ตาสีฟ้า  และผมสีทอง ดังนั้นจึงสร้างออกมาเป็นสีแบบนี้

และที่เห็นเป็นสีฟ้าสูงๆ ก็คือฮีตเตอร์นั่นเอง  เหมือนกับเตาผิงที่อยู่ในวังก็จะดูสวยงามกว่าบ้านสามัญชนธรรมดาทั่วไปถึงแม่จะเป็นพระราชวังฤดูร้อนก็ตามแต่ฤดูหนาว  ก็ยังมีบ่าว ไพร่อาศัยอยู่  ดังนั้นนางก็ยังมีความต้องการด้านฮีตเตอร์อยู่  แต่ยังไงฤดูร้อนของรัสเซียก็ไม่ได้ร้อนแบบตับแตก  แต่เขาบอกว่าร้อนที่สุดอยู่ที่ 40 องศา ที่แย้มาแดดจ้าทั้งวัน  ก็ยังอยู่ที่ 25 - 27 องศา  พอตกกลางคืนก็หนาวเหลือสิบกว่าองศา สรุปฮีตเตอร์ก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญอยู่

กลับมาเรื่องการตกแต่งก็จะมีการปิดทองอร่ามบนไม้แกะสลักลวดลายสวยๆ  ตามรูปแบบศิลปะบารอคที่เวอร์วังอลังกาา ส่วนห้องที่เป็นไฮไลท์แย้รู้สึกว่าจะมี 2 ห้อง คือห้องอาหารที่เป็นสีเขียว ซึ่งแย้ไม้ได้ถ่ายโต๊ะอาหารมา  เนื่องจากติดนักท่องเที่ยวเยอะมากก็เลยถ่ายเฉพาะผนังมาที่เป็นสีเขียวพาสเทล  เค้าบอกว่าเป็นห้องอาหารค่ำสีเขียวที่ออกแบบมาแบบศิลปะคลาสิก  ให้โทนสีสว่าง  แล้วก็มีพวกปูนปั้น  แกะสลักสวยงาม  มาตกแต่งอยู่ภายในห้องนี้

ไฮไลท์อีกห้องนึงก็คือ ห้องอำพัน ก็คือยางไม้ที่อาจจะมีแมลงอยู่ข้างในหรืออาจจะไม่มี  แต่ว่าต้องอยู่มาเป็นพันๆปี เรียกว่าอัมพันหรือ Amber ห้องนี้จะเป็นห้องที่มีความสวยงามที่สุด  แต่เขาห้ามถ่ายรูป ก็เลยอดถ่าย คือเขาเอาอัมพันมาประดับทั้งผนัง รูปภาพ เอาอำพันมาตกแต่งหมดแต่แค่ประมาณครึ่งห้องเท่านั้น  เพราะอำพันห้องนี้เคยโดนเยอรมันมางัดแงะ แซะเอาไปหมดเลย  ทางรัสเซียก็ไปตามล่าที่เยอรมันไปหาก็หาไม่เจอ สุดท้ายก็ต้องลงทุนทำใหม่ โดยที่ไปซื้ออำพันมามูลค่ากว่า 1 พันล้าน US ดอลลาร์

และที่โดดเด่นอีกอย่างก็คือสวนในตัววัง  สวนสไตล์ฝรั่งเศสนั่นเอง  สวยงามพอสมควร เหมือนสวนสาธารณะ
มาถึงวันที่ 5 กันแล้ว  มากันที่พระราชวังปีเตอร์ฮอฟ อยู่ทางใต้ของอ่าวฟินแลนด์  ที่นี่เป็นพระตำหนักชายฝั่งของกษัตริย์รัสเซียทั้งหลาย  ใช้ในการผักผ่อนและล่าสัตว์ในฤดูร้อน มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ซึ่งพระราชวังฤดูร้อน  ประกอบไปด้วยพระราชวัง  น้ำพุ สวนตอนล่าง  สวนตอนบน  ซึ่งเป็นสุดยอดสถาปัตยกรรมของโลก 


โดยเฉพาะในส่วนของน้ำพุ  ที่ลดหลั่นกันถึง 27 ขั้น  ซึ่งน้ำพุนี้ไม่ได้ใช้ปั้มน้ำแต่อย่างใด  แต่เป็นแรงดันธรรมชาติ  เรียกว่าพุ่งกระจายมากๆเลย  แล้วก็จะมีคลองขุดก็จะพาน้ำจากน้ำพุไปสู่ทะเลบอลติก  
น้ำพุนี้สร้างขึ้นเพื่อยินดีต่อชัยชนะ  และยกย่องในความกล้าหาญของทหารชาวรัสเซียและทหารเรืออันยิ่งใหญ่  น้ำพุนี้ตกแต่งด้วยรูปปั้นถึง 255 ชิ้น มีน้ำพุที่ใหญ่ที่สุดและรูปปั้นแซมซันกำลังง้างปากสิงโตที่มีชื่อเสียง  สูง 21 เมตร เป็นฝีมือของสถาปนิกชื่อดัง เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ครบรอบ 15 ปี แห่งชัยชนะเหนือสวีเดน 
ส่วนในพระราชวังสวยงามมาก  ซึ่งข้างในวังห้ามถ่ายรูปอีกแล้วนะจ้ะ  แต่สวยงาม อร่ามตามากๆ เรียกได้ว่าสวยกว่าพระราชวังแคทเธอรีนอีก  ซึ่งพระราชวังนี้  ประกอบไปด้วยห้องพักผ่อน 26 ห้อง ไม่ว่าจะเป็นห้องเต้นรำที่หรูหราฟู่ฟ่าซึ่งเป็นศิลปะแบบบารอค  และมีห้องท้องพระโรงใหญ่  ที่ใหญ่สุดในพระราชวัง  และยังมีห้องที่แสดงรูปภาพของศิลปินชาวอิตาเลียนอีกจำนวน 368 รูป
พักทานอาหารท้องถิ่น  จานแรก โคลวสลอว์ มีส่วนผสมของแตงกวา แย้ไม่สามารถรับประทานได้จริงๆ เพราะว่ากลิ่นแตงกวาแรงมาก  ถัดมาเป็นซุปฟักทองลืมถ่ายจ้าหิวจัด 
ส่วน Main Course เป็นเหมือนข้าวหมก  รสชาติใกล้เคียงกันมากแต่จะจืดๆ เสิร์ฟเคียงกับไก่ครีมซอสเห็ดไฮไลท์อยู่ที่ของหวานอารมณ์เหมือนเอแคร์  ไส้ในเป็นไส้ครีม ด้านนอกเป็นขนมปังออกจะแข็งๆนิดนึง

พอทานอาหารกลางวันเสร็จ  ก็ไปที่พิพิธภัณฑ์เฮอร์มิเทจ  หรือ สมัยก่อนเป็นพระราชวังฤดูหนาว  จะอยู่ในเมือง  จะประกอบด้วยอาคาร 5 หลัง สร้างเชื่อมต่อกัน  ทำให้พระราชวังนี้มีเนื้อที่กว้างใหญ่มาก  เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศรัสเซียเลย

ภายในพิพิธภัณฑ์ก็จะมีของล้ำค่านำมาจัดแสดงอยู่เกือบ 3 ล้านชิ้น  เริ่มขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1764 
พระนางแคทเธอรีนที่ 1 ได้ทรงซื้อภาพเขียนจากยุโรปกว่า 250 ชิ้น แต่ตอนที่พระนางได้ทรงซื้อภาพเขียนมาก็ไม่ได้ให้ใครดู ทรงเก็บไว้ดูส่วนพระองค์เอง  เค้าบอกว่าภาพเขียนเหล่านี้จะมีแค่หนูกับพระนางแคทเธอรีนเท่านั้นที่ได้ดู  แต่พอพระนางแคทเธอรีนสวรรคตในปี 1796 มีของสะสมอยู่มากมาย  โดยเฉพาะภาพเขียนที่ทรงโปรดปรานมากกว่า 3,000 ภาพ  เหรียญโบราณและอัญมณี  


จะมีภาพที่เป็นของจิตรกรก้องโลกคือ เลโอนาร์โด ดา วินชี คือภาพThe Benios Madonna และภาพ Madonna Litta  ก็ได้ถูกจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ด้วย  และรูปแกะสลักเด็กผู้ชายกำลังครุ่นคิด หรือ Crouching Boy ของไมเคิลแองเจโล
แล้วก็จะมีนกยูงทอง  มันคือนาฬิกานั่นเอง  ตัวบอกเวลาในสมัยก่อน  และภาพบัลลังค์สีแดงนั่นคือบัลลังค์ของพระนางแคทเธอรีน  ส่วนภาพที่เป็นพานอันใหญ่ก็คือแจกันที่ใหญ่ที่สุดในโลก  เพดานตกแต่งด้วยไม้แกะสลักเคลือบทองบางๆ ที่เห็นเป็นรูปนกอินทรีย์สองหัวคือสัญลักษณ์ของประเทศรัสเซีย  และยังมีภาพที่ทำจากประเบื้องโมเสค  มีรูปนึงที่แย้ฮามาก เป็นหญิงโรมันเปลื้องผ้า  มีกล้ามท้องเล็กๆ กำลังทำ Selfie อยู่  (แย้คิดเอง) 

ต่อมาดินเนอร์กันในพระราชวังนิโคลัส  ซึ่งตอนนี้ได้แปลงเป็นภัตตาคารอาหารและจัดแสดงโชว์การแสดงพื้นเมือง  ถ้ามากับกรุ๊ปทัวร์เค้าก็จะบอกว่าดินเนอร์ในพระราชวังดูเวอร์วังอลังการแต่จริงๆแล้วไม่มีอะไรก็เหมือนร้านอาหารธรรมดา  



แต่ห้องที่เราเข้าไปจะดูโอ่อ่าใหญ่โตด้วยเสาโรมัน Starter ก็คือ Sparkling wine ถัดมาเป็นสลัดรสชาติเหมือนตอนมื้อกลางวันที่ผ่านมา  ซึ่งแย้ทานไม่ได้จริงๆ เพราะเป็นคนไม่กินแตงกวา 
อย่างที่สองเป็นเครปกับ Red Caviar ซึ่งมันคือไข่ปลาแซลมอนนั่นเอง  เวลาทานเราก็เราก็เอาเครปมากาง  แล้วเราก็เอาไข่ปลาแซลมอนกับเนยใส่ลงไปบนเครป  เค้าให้เครปมา 3 ชิ้น  แต่แย้กินได้แค่สองชิ้นเพราะไส้หมดก่อน  เราเน้นใส้ไม่เน้นแป้งนะจ้ะ  ถือว่ารสชาติใช้ได้
ส่วนซุปฟักทองก็เผลอลบรูปไป  จานนี้ต้องปรุงรสหน่อย เพิ่มน้ำตาล เกลือ พริกไทยลงไป ส่วน Main Course ก็เป็นสเต็กหมูกับผักต้มงุงิ งุงิ ราดด้วยน้ำอะไรสักอย่าง  ซึ่งไม่มีรสชาติเลย  สุดท้ายแย้ต้องเอาซอสมะเขือเทศมาฟีจเจอริ่ง ปรุงซะเละตุ้มเปะไปหมดเลย  แต่จริงๆแล้วรสชาติหมูเค้าโอเคนะจ้ะ หอม นุ่มดี
จานสุดท้ายเป็นขนมหวาน  แต่ว่าตัวเค้กเหมือนมีธัญพืชข้างใน  ไม่รู้ว่าใส่ใบกัญชารึปล่าว  เอ้ย!!! แต่คงไม่ใช่นะจ้ะ  แล้วก็มีซอสเชอร์รี่กับสับปะรดแช่อิ่ม รสชาติอร่อย  แย้กินแต่ใส่กับช็อคโกแลตข้างบน  ตัวที่เป็นเค้กหญิงแย้ไม่เอาเลยเพราะพยายามเลี่ยงแป้ง  แต่น้ำตาลไม่เลี่ยง  เอ๊ะ? กร้ากๆๆๆๆ

ทานอาหารเสร็จแล้วก็ชมการแสดงพื้นเมือง เพลินๆ สนุกสนาน  มีร้องโอเปร่าด้วย เสียงอลังการ  การแสดงไม่น่าเบื่อ  เพราะเราไม่เคยเห็นด้วยแหละก็แปลกๆดี  เป็นการแสดงที่ใช้พละกำลังพอสมควร  แต่ไม่มีการเล่นกายกรรมอะไรทั้งสิ้น  จะเป็นการแสดงน่ารักๆ เต้นไปเต้นมา  สนุกสนานกันไป 
ระหว่างการแสดงก็จะมีพักครึ่งด้วย  ก็จะมีออเดิร์ฟ ขนมปัง ซาลามี่ ไข่ปลาแซลมอน  ชีส  อีกอันที่แย้ไม่ได้เอามาก็คือแฮมกับมะกอกดอง ที่เจ๋งมากๆก็คือแก้วไวน์  ปกติงานเลี้ยงคอกเทลจะมีปัญหาที่ว่า ถือจาน 1 มือ อีกมือนึงถือแล้ว  อ่าว แล้วจะกินยังไง เอาปากงาบแบบน้องหมาอ๊ะเปล่า!!? แต่อันนี้เค้าจะมีที่คีบวางแก้วมา แปะมากับจานเลย สามารถที่จะสวมแก้วแชมเปญลงไปได้เลย  เรียกว่าเกิดมาไม่เคยเห็นเลยจริงไอเดียนี้  ควรจะมีโรงแรมในเมืองไทยเอาใช้  มันเยี่ยมจริงๆสำหรับงานคอกเทลต่างๆแบบนี้   

กลับมาโรงแรมมีปาร์ตี้ขนมเล็กน้อย กรุบกริบๆ ก็คือเลย์รสอะไรไม่รู้เป็นภาษารัสเซียหมดเลย  น่าจะเป็นอารมณ์ของหมักดองอะไรประมาณนั้น  รสชาติเข้มข้นดี ส่วนเลย์รสข้างบนเปนเลย์รสซาวน์ครีมไม่ใช่หัวหอม  แต่เป็นต้นหอมแทน  รสจัดมากกว่าและกลิ่นแรงว่าซาวน์ครีมหัวหอมของเมืองไทยมาก  โอเคอร่อย ซองสีเขียวจะเป็นต้นหอม  กลิ่นและรสก็เป็นต้นหอม  กินแล้วปากเหม็นไปถึงเช้าเลยทีเดียว  ส่วนสีฟ้ารสเฮิร์ป  เดี๋ยวเก็บไปกินที่เมืองไทย  รสชาติเป็นยังไงไว้มาบอกอีกที  
มาที่เบียร์กันบ้าง  ยี่ห้ออะไรไม่รู้  แต่อร่อยมาก  รสชาตินุ่มนวล  ไม่บาดปาก  ซื้อที่มินิมาร์ทใกล้ๆโรงแรม  ไปซื้อตอนประมาณ 4 ทุ่ม คือฟ้ายังไม่มืดเลย  แต่ว่าคนน่ากลัวมาก  คือแบบว่าเป็นผู้ชายผู้หญิงตัวใหญ่ๆ ไม่รู้เค้าจะอะไรยังไงรึปล่าว คือรัสเซียเป็นประเทศที่ค่อนข้างน่ากลัวนิดนึง  จะออกไปข้างนอกตอนกลางคืนก็ควรไปด้วยกันหลายๆคนนะจ้ะ  เป็นอันจบวันที่ 5 แล้วจ้าา 
มาถึงวันสุดท้ายแล้ว  ตอนเช้าก็เลยไปถ่ายรูปเป็นที่ระทึก เอ้ย ระลึก กับโบสถ์หยดเลือดค่ะ  เป็นโบสถ์ที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 3 ทรงสร้างขึ้นบริเวณที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 หรือพระบิดาถูกลอบปลงพระชนม์  เพื่อที่จะเป็นอนุสรณ์แก่พระบิดานั่นเอง  รูปแบบสถาปัตยกรรมของโบสถ์หยดเลือด  จะเป็นสถาปัตยกรรมแบบรัสเซีย ในคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 ลักษณะรูปทรงคล้ายเซนต์เบซิลที่มอสโคว์เลย  

ส่วนภาพที่โดดกะหยองกะแหยงอยู่นี้ก็เป็นสาวๆเพื่อนร่วมทัวร์ที่ไปด้วยกัน
รูปที่พี่หมอยืนอยู่ก็เป็นห้างสรรพสินค้าที่เปิด 24 ชม. เลยทีเดียว ลักษณะเหมือนเทสโก้โลตัส   พอเข้าไปข้างในก็ตั้งทุกอย่างเหมือนเทสโก้โลตัสเป๊ะ ด้วยการตกแต่งสีเขียวเป็นหลัก และของก็ถูกมากๆ เพราะเป็นของที่คนท้องถิ่นต้องใช้สอยในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว  มีถ่ายรูปมาน่ารักมากเป็นน้ำตาลยี่ห้อแมวน้ำ  ชอบก็เลยแอบถ่ายมา  จริงๆแล้วในซุปเปอร์มาเกตเค้าจะไม่ค่อยให้ถ่ายเท่าไหร่

ส่วนร้านสีแดงร้านนี้ก็คล้ายๆกับเชสเตอร์กริลบ้านเค้านะคะ  ก็มีอยู่ในซุปเปอร์มาเกต  อีกอันก็เป็นช็อคโกแลตหน้าเด็ก  ตอนแรกเราก็เข้าใจว่ากินแล้วจะหน้าเด็กรึเปล่า  ไม่ใช่มันคือช็อคโกแลตยี่ห้อหน้าเด็ก  เด็กจริงๆ ก็กินแล้วก็จะฟันดำอย่างนี้  อ่าวไม่ใช่ 555555

เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไปขึ้นเครื่องบินจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กกลับไปยังกรุงมอสโคว์  
นี่ก็เป็นภาพใน Lounge Business ในสนามบินของที่นี่  ใครที่บินการบินไทยไป ก็ต้องมานั่งชิลล์กันที่นี่ รอเครื่องจากมอสโคว์กลับไปยังเมืองไทย  และดิวตี้ฟรีที่นี่  ไม่ควรซื้ออะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างแพงกว่าไทยหมดเลยโดยเฉพาะน้ำหอม  และไม่มีของแบรนด์อะไรเลย  แนะนำว่าถ้าจะซื้อให้ไปซื้อที่ห้าง Gum ดีกว่านะจ้ะ
เป็นยังไงบ้างกับหญิงแย้พามาตะลุยรัสเซีย  ประทับใจกับทริปนี้มาก  ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาชมเข้ามาอ่านทริปพาเที่ยวรัสเซียของหญิงแย้  หวังว่าจะชอบกันนะจ้ะ  ขอลาไปแล้ว  คราวหน้าหญิงแย้จะพาไปตะลุยเที่ยวที่ไหน  ติดตามกันด้วยนะจ้ะ

* รีวิวนี้ไม่มีสปอนเซอร์จ้า

ติดตามหญิงแย้ได้ทุกช่องทางที่
Blog :http://www.yaeuunws.com
Facebook : www.facebook.com/uunws
Instagram : yae_uunws
SocialCam : Yae_uunws
Youtube : www.youtube.com/user/YEAuunws
Pantip : นนทพรแย้

Jeban : Yaeuunws

0 ความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น

 
หญิงแย้ © 2014 | Designed by Janenipa.com