สวัสดีจ้า ห่างหายไปจากการรีวิวท่องเที่ยวไปอย่างเนิ่นนาน คราวนี้แย้จะมารีวิว Business Class ของ EVA Air นั่นเองจ้า เนื่องจากว่าหลายคนอาจจะอยากไปอเมริกา แต่ไม่รู้ว่าจะเลือกใช้บริการของสายการบินไหนดี ซึ่งครั้งก่อนที่แย้ไปอเมริกา ได้ใช้บริการของ Cathay Pacific แต่ก็ไม่ได้ประทับใจในระดับนึง และในคราวนี้แย้ได้มีโอกาสใช้บริการของ EVA Air ซึ่งเป็นสายการบินของไต้หวันก็ถือว่าใช้ได้ ซึ่งการบินก็จะแบ่งเป็น 2 Part ด้วยกัน ก็คือจาก ไทย - ไต้หวัน และ ไต้หวัน - อเมริกา (Seattle)
จากไทย - ไต้หวัน ใช้เวลา 3 ชม.ครึ่ง ส่วน ไต้หวัน - Seattle ใช้เวลา 13 ชม. ด้วยกัน ซึ่งเวลาก็ผ่านไปไวมาก เพราะว่าอยู่บนเครื่องบินก็แฮปปี้ มีความสุขดี (เฉพาะขาไป ขากลับเศร้ามาก) เรามาเริ่มต้นกันที่ Lounge Business ของ EVA Air กันก่อนเลยจ้า
จริงๆ EVA Air สามารถใช้ Lounge เดียวกับการบินไทยได้ แต่คนเช็คอินกระเป๋าเค้าบอกว่า Lounge ของ EVA Air เค้าเพิ่งจะ Renovate ไปในงบประมาน 50 ล้าน ในเมื่อเค้าคุยมาขนาดนี้ เราก็ไม่ไปก็คงจะไม่ได้ ซึ่ง Lounge ของเค้าจะออกโทน ม่วง-ดำ สวยงาม เข้าไปข้างในคือไม่ผิดหวัง ทุกอย่างคือใหม่มาก ดีงามพระรามสี่ มีเป็นห้องสำหรับนอน โซฟาเก้าอี้นวดนอน ห้องอาบน้ำดี๊ ดี โซนอินเตอร์เน็ต
และที่สำคัญ อาหารใน Lounge อร่อยมาก ดีมาก มีทั้งอาหารไทย อิตาเลียน พิซซ่าต่างๆ แต่ที่เด็ดสุดถูกใจแย้ก็คือ แกงเขียวหวานกับต้มยำกุ้ง อร่อยมาก รสชาติถูกปากคนไทยสุดๆ และตามมาด้วย น้ำมะพร้าวทั้งลูก กินไปคนละ 2 ลูกได้ ที่เด็ดอีกอย่างคือ ข้าวเหนียวมะม่วง คือมีได้ยังไงใน Lounge ไม่เคยพบเคยเจอ
ถัดมาเป็นพวกเครื่องดื่ม ก็เหมือน Lounge ทั่วไป มีทั้งแอลกอฮอล์ กาแฟ เครื่องดื่มกระป๋องต่างๆ ถ้าเทียบกับ Lounge ของการบินไทย เรียกได้ว่า EVA Air เหนือกว่าเยอะ และคนก็ไม่ได้พลุกพล่านด้วย ถ้าเป็น Lounge การบินไทยคนจะเต็มตลอด แต่ที่นี่ค่อนข้างจะสงบ แล้วก็มีที่นั่งค่อนข้างเยอะเลย
หลังจากนั้นเราก็เดินไปขึ้นเครื่องกัน ที่กำลังไปคือไต้หวันนะจ้ะ เพื่อไปเปลี่ยนเครื่องอีกที ในห้อง Business ก็จะแบ่งเป็นคอกๆแบบนี้ ถ้าไปกันแบบคู่รักก็ต้องแสดงความเสียใจด้วย เพราะว่าแต่ละที่นั่งก็ค่อนข้างห่างไกลแล้วก็เป็นส่วนตัวมาก แล้วเบาะดีมากสามารถปรับนอนได้ 180 องศาเลย ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่บินไกลๆมาก โดยสมาชิกที่ไปก็จะมี ป่ะป๊า แม่แมวและลูกแมว 3 คน และเพื่อนๆ
มากันที่อาหารบนเครื่องกัน มาดู Wine List ก็คือเครื่องดื่ม แล้วก็อาหารว่ามีอะไรบ้าง ก็สามารถที่จะเลือกได้ว่าอยากจะทานอะไร ซึ่ง Wine List ดีมาก มี Champagne ของ Veuve Clicquot La Grande Dame Brut 2004 สีส้มๆอันนี้ ซึ่งปกติราคามันสูงมากถ้าแพกเกจดีๆที่ King Power ขายขวดละ 10,000 กว่าบาท ไม่คิดว่าเค้าจะให้มาดื่มแบบ Unlimit ขนาดนี้ ก็เลยจัดไปซะคุ้มค่าเครื่องบินพอสมควรเลย เอิ๊กๆๆๆ
เครื่องดื่มกันไปแล้ว มาที่อาหารกันบ้าง แย้เลือก Starter เป็น Goose Liver Terrine อร่อย หอมไม่คาวกินเกลี้ยงเลย และ Main Course เลือกเป็นข้าวผัดเนย แล้วก็มีอกไก่สอดไส้เห็ดหอม อร่อยหอมหวาน แต่ดันลืมถ่ายรูปกินไปแล้ว 1 คำ
ส่วนอีกอย่างก็คือ Starter เป็น Seafood Salad และ Main Course เป็นข้าวแกงเผ็ดหมู อร่อยแจดดดด (ขอใข้ภาษาวิบัติเพื่ออารมณ์) รสชาติแบบไทยสุดๆ ส่วนของหวาน กินหมดไปก่อนเฉยเลย ลืมถ่ายรูป เป็นชีสเค้ก ซึ่งมีชีสสัก 70% อร่อยจัดรัสเซียเลยนะครับโผมมม ฟาดเรียบ หลังจากนั้น 3 ชม. ครึ่ง ก็ถึงไทเป และเข้า Lounge เพื่อรอเปลี่ยนเครื่องนะจ้ะ ทีนี้มาดู Lounge EVA Air ของไต้หวันกัน
อาหารอาจจะไม่ถูกปากนัก แต่มีความหลากหลายดี มันหวานอบอันนี้น่ารักม๊วกกกก
และที่สำคัญที่อาบน้ำที่นี่ดี๊ดี แบ่งโซนเปียกโซนแห้ง ไดร์เป่าผม เครื่องอำนวยความสะดวกครบครันมากๆ ก็เลยจัดหนักสระผมซะเลย หลังจากนั้นก็ขึ้นเครื่องไป Seattle กันจ้า
ที่นี่มื้อเช้าก่อนลงเครื่อง 3 ชม. ก็เลือกได้ 3 แบบ แบบฝรั่งก็พวก Omelet ไส้กรอก และแบบจีนเป็นข้าวต้มกุ๊ย และแบบไต้หวัน แย้ก็เลยลองเลือกแบบไต้หวันมา ก็เป็นเหมือนก๋วยเตี๋ยวไก่ แต่อร่อยดี มันๆ
และแล้วเราก็ได้มาถึง Seattle กันแล้วเรียบร้อย อีก 2 สมาชิกเพื่อนแย้ที่พาครอบครัวมาเที่ยวเหมือนกันน่ารักมาก นี่คือขามาของของเรา ส่วนขากลับมาดูกันต่อเลย
ขากลับในรูปดูลั้ลลามาก แต่จริงๆแล้วไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ เพราะว่าเครื่องบินเป็น Boing 747 ก็เลยได้ที่นั่งที่ไม่สามารถจะปรับเอนได้ 180 องศา เหมือนขามา ก็เลยเสียใจมาก และหน้าจอทีวีก็จะเป็นแบบจอเล็กๆ ก็คือเครื่ิองบินรุ่นนี้ก็จะได้ Business Class ไม่ดีเท่ารอบขามา ก็เลยนอนไม่หลับทั้งคืน เป็นเรื่องเศร้ามากๆ
ส่วนอาหารเครื่องดื่มก็โอเค แต่เวลากินโต๊ะเล็กมาก คว้าออกมานี่อึดอัดเชียว ขึ้นเครื่องมาก็เจอมื้อดึกเลย ซึ่งถ้าคนที่สั่งเป็นแบบ Western ก็จะได้ Starter เป็นอกเป็นรมควัน แล้วก็ตามด้วย Lobster ซึ่งแย้แพ้ Lobster อดกินจ้า เลยสั่งแบบ Chinese cantonese ไป รสชาติก็โอเคอร่อย ส่วนของหวาน อร่อยมากกกก แทบจะลืมไม่ได้เลย
ส่วนมื้อเช้าจ้า หน้าตาเป็นแบบนี้จ้า อร่อยจัดต้องสั่งจริงๆ
และนี่คือเมนูจ้าซึ่งแย้เสียใจมากเพราะว่าเล่มนี้ ไม่มี Champagne ยี่ห้อโปรดเหมือนขามา แต่ขวดนี้ก็โอเครสชาติใช้ได้
แล้วก็มาแวะเปลี่ยนเครื่องที่ไทเป ก็ได้เข้ามาใช้บริการที่ Lounge เหมือนเดิม ได้อาบน้ำด้วยซึ่งฟินมาก ต่อมาก็ขึ้นเครื่องกลับเมืองไทย รอบนี้ดีใจมากที่ได้เครื่องบินลำเดิมกลับมา ที่เบาะปรับเอนได้ 180 องศา
หน้าตาอาหารก็จะเป็นแบบนี้ ซึ่ง Main Course ไม่ได้ถ่ายมา เพราะหิวมากอารมณ์เสีย กินหมดก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าต้องถ่าย
โดยรวมแล้วสำหรับสายการบิน EVA Air แอร์โฮสเทสก็น่ารักสไตล์เอเชีย บริการดี ทุกคน เต็ม 10 ให้ 8 เลย แต่เมื่อเทียบกับการบินแบบ Business Class ก็ถือว่าราคาค่อนข้างถูกเลย ก็เลยอยากจะแนะนำ และก็ประทับใจกับการบริการของ EVA Air ก็ชอบมากถ้ามีโอกาสก็อยากจะใช้บริการอีก ก็หวังว่าจะเป็นอีกตัวเลือกสำหรับคนที่กำลังหาสายการบินดีๆ มายังอเมริกา ต่อไปแย้จะมารีวิวทริป Alaska ที่มาเที่ยวในครั้งนี้ อย่าลืมติดตามกันนะจ้ะ สำหรับวันนี้สวัสดีจ้า
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น